top of page

Floods in Thailand

น้ำท่วม

แผ่นดินถล่ม

Ruined by Fire

By Vicharn Group

ข้อแนะนำ ควรสร้างที่พักบนที่สูง มากกว่า 5 เมตรขึ้นไปเช่นเนินเขา ตึก หรือ สร้างบนเกาะเทียม ส่วนตัวบนแผ่นดิน หรือ สร้างบ่อดักตะกอน เพื่อเพิ่มพืนที่รับน้ำ รับตะกอนดินทราย เพื่อบรรเทาน้ำท่วม  
น้ำจะไม่ท่วม บนแผ่นดินสูง 7 ถึง 10 เมตร และ การมีบ่อบำบัด 2 บ่อ ก่อนส่งน้ำเสียลงแหล่งน้ำสาธารณะ

Vicharn Group advices on building a sedimentation pond and an earth mound for the elephant camp

Maldives in Thailand  is a project 1.For residential or business on a private island on an artificial island 10 meters high,
Maldives in Thailand  is a project 1.For residential or business on a private island on an artificial island 10 meters high,
Maldives in Thailand  is a project 1.For residential or business on a private island on an artificial island 10 meters high,
Maldives in Thailand  is a project 1.For residential or business on a private island on an artificial island 10 meters high,

Vicharn Group would like to express our sympathy for the suffering of Thai people in Mae Sai and Chiang Rai who have to face

1.) PM 2.5 dust problem from forest burning that occurs every year

2.) Flash floods bringing mud, soil and sand between September 8-10, 2024 due to the influence of the Rain Bomb. We don’t know if it will happen again next year. 3.) Mud, soil and sand brought by the flash floods precipitated houses, communities, people and animals, causing deaths and injuries. In particular, the tragic deaths of 2 elephants drowned, not to mention the diseases brought by the water.

4.) Most recently, there was a 4.7 Richter earthquake in Burma, causing Mae Sai and Chiang Rai, which are located on an active fault line of the world, to be affected on November 8, 2024 and the Mae Chan Fault in Chiang Rai Province. “May 5, 2014, the people of Chiang Rai will never forget.”

 

We recommend that the government and private sector start building sedimentation ponds at the source of water flow, which are expected to be the source of water flow before flowing into the communities. To trap sediment and reduce the amount of mud, sand, or reduce the intensity of water that flows to the community in low areas.

 

We recommend that elephant camp or zoo operators build an earth mound 3 meters or higher with a fence around the edge of the mound. The earth mound should be built in the elephant camp or zoo area that is not far from where the elephants or animals are. When there is a flood, the elephants or animals can be moved to the higher mound immediately.

Food

ด่วน ....!  น้ำท่วมน่าน 23 ก.ค.68 | รวม 9  คลิป

1.) เตือนภัยน้ำท่วม ช่วงวันที่ 3 เมษายน 68 รวม 8 คลิป

​น้ำท่วมเร็วและรุนแรงมาก!! | แม่สาย น้ำท่วมไม่จบเพราะ? ..... การรุกล้ำ และ ขวางทางน้ำ

คลิป น้ำท่วม แม่สาย 29 เมษ.68 เพียงฝนตก 69 มิลลิเมตร รวม 19 คลิป ​

Vicharn Group ยินดีให้คำปรึกษาการสร้างบ่อน้ำด้กตะกอนป้องกันชุมชนและเนินดินสำหรับปางช้างหรือสวนสัตว์

​Vicharn Group ใคร่ขอแสดงความเห็นใจต่อความทุกข์ของชาวไทยที่แม่สาย และ เชียงราย ครับ ที่ต้องพบกับ

1.) ปัญหาฝุ่น PM 2.5 จากการเผาป่า ที่เกิดขึ้นประจำทุกปี

2.)น้ำป่าไหลท่วม พาโคลน ดิน ทรายมา ระหว่างวันที่ 8-10 ก.ย.67 ด้วยอิทธพลของ Rain Bomb และไม่รู้ว่าปีหน้าจะเกิดอีก หรือไม่

3.) โคลน ดิน ทรายถูกน้ำป่าพามาตกตะกอน บ้านเรือนที่พักอาศัย ชุมชน คนและสัตว์ เสียชีวิต และ บาดเจ็บ โดยเฉพาะเรื่องเศร้า ช้าง 2 เชือกจมน้ำเสียชีวิต ยังไม่รวมโรคที่มากับน้ำอีก

4.) ล่าสุดเกิดแผ่นดินไหว 4.7 ริกเตอร์ ที่พม่า ทำให้แม่สาย และเชียงราย ที่อยู่ในแนวลอยรอยเลื่อนมีพลัง” (Active Fault) ของโลก โดนหางเลขไปด้วยเมื่อวันที่ 8 พย. 67 และ โดยรอยเลื่อนแม่จัน จ.เชียงราย “5 พฤษภาคม 2557 คนเชียงรายจะไม่มีวันลืม”  http://www.stabundamrong.go.th/web/think_tank/executive_experience/experience1.pdf

 

ขอแนะนำให้ทางการ และภาคเอกชน ควรเริ่มทำบ่อน้ำด้กตะกอน ต้นทางน้ำไหล ที่คาดว่าบ่อน้ำจะเป็นต้นทางไหลของน้ำก่อนไหลเข้าชุมชน เพื่อเป็นดักตะกอน และลดปริมาณ โคลนดิน ทราย หรือ ลดความรุนแรงของน้ำ ที่จะไหลไปกองที่ชุมชนในพื้นที่ที่ต่ำได้บ้าง และ ขอแนะนำผู้ประกอบการปางช้าง หรือสวนสัตว์ ควรทำเนินดินสูง 3 เมตร ขึ้นไปโดยมีรั้วกั้นอาณาเขตในแนวขอบเนินดิน โดยเนินดินควรสร้างในบริเวณปางช้างหรือสวนสัตว์ที่ไม่ไกลจากที่ช้างหรือสัตว์อยู่ เมื่อเกิดมีน้ำท่วมจะได้เคลื่อนช้างหรือสัตว์ไปที่เนินสูงได้ทัน

อนึ่ง Vicharn Group ยินดีให้คำปรึกษาการสร้างบ่อน้ำด้กตะกอนสำหรับป้องกันชุมชนและเนินดินสำหรับปางช้าง หรือ สวนสัตว์

​การดำรงชีวิต และการค้า การขายบนเกาะเทียม สูง 5 ถึง 10 เมตร ก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่ต้องสะดุด

ทุกโครงการของMaldives in Thailand โดยเฉพาะ โครงการ M1 บางขุนเทียนม, M2 บางปะกง, M3 บางบาลอยุธยา , M7 บึงบอระเพ็ด นครสวรรค์ โดยดัชนีความผาสุกของการอยู่อาศัยของผู้คนในโครงการMaldives in Thailand จะมีค่าเป็นบวกเสมอ ไม่มีทางเป็นลบ หรือ เป็นศูนย์ เลย เพราะ 

 1.) มีการป้องกันน้ำท่วม น้ำทะเลไหลท่วม แม่น้ำไหลท่วม น้ำป่าไหลทำลายล้าง แผ่นดินถล่ม มีการป้องกันอย่างถาวร และมีแหล่งน้ำจืดบนเกาะ ป้องกันการขาดน้ำในหน้าแล้ง

2.)ฝุ่น PM 2.5 แทบไม่มี เพราะไม่ได้อยู่ใกล้เมือง หรือใกล้โรงงานอุตสาหกรรม ใกล้แหล่งเผาป่า

3.)หากจะเกิดพายุ หรือ Rain bomb ในบริเวณโครงการ ก็จะไม่มีผลต่อการดำรงชีวิต และธุรกิจ เพราะน้ำคงไม่ท่วมถึง 5 เมตร

4.) ทุกโครงการไม่ได้อยู่ในแนวลอยเลื่อนมีพลัง” (Active Fault) ของโลก ที่โดนหางเลขจากแผ่นดินไหวไปด้วย โดยที่ผู้บริหารของ Vicharn Group ทราบตำแหน่งของลอยเลื่อนมีพลัง” (Active Fault) เมื่อครั้งท่านได้เคยทำงานป้องกันเขื่อนใหญ่ ๆ ในไทย ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต

5.) จากความรู้เรื่องธรณีวิทยา ของคุณวิจารณ์ วัฒนา​ชี​รา​นนท์​ ผู้บริหารของ Vicharn Group ที่จบการศึกษาด้าน ธรณีวิทยา จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ความดิดเห็นว่า การปลูกสร้างบนหินแกรนิตผุๆ จะมีความเสี่ยงต่อการทรุดตัวเมื่อมีฝนตก เมื่อมีจำนวนน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ หินจะยุ่ยและจะย่อยเป็นเม็ดหินหรือเป็นผง เป็นเม็ดทราย โดยที่ทุกโครงการของ Maldives in Thailand อยู่บนดินและทรายเสมอ ไม่ได้อยู่บนหินแกรนิตผุ จึงไม่มีปัญหาเรื่องแผ่นดินถล่ม

6.) ดังนั้น การดำรงชีวิต และการค้า การขายบนเกาะเทียม สูง 5 ถึง 10 เมตร ก็จะดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่ต้องสะดุด กับปัญหาฝนตกน้ำท่วม แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่ม น้ำป่า แผ่นดินทรุด ฝุ่น PM2.5 ไม่มีคาร์บอนมอนอกไซด์ อากาศไม่ร้อนเพราะอยู่ท่ามกลางบ่อน้ำที่ไม่มีมลภาวะ

7.) ท้ายสุดการขายต่อหรือเกร็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ บนโครงการ จะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และไม่ยุ่งยากเกินจินตนาการ

จากแผนที่พื้นที่อ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่ม ใน 54 จังหวัด 518 อำเภอ 2,845 ตำบล จากกรมทรัพยากรธรณี ปี 2564​

จากแผนที่พื้นที่อ่อนไหวต่อการเกิดดินถล่ม ใน 54 จังหวัด 518 อำเภอ 2,845 ตำบล ในประเทศไทย จากกรมทรัพยากรธรณี ปี 2564 https://www.dmr.go.th/wp-content/uploads/2022/09/%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99_02_18052564.pdf

 

หากพื้นที่ใดอยู่บนหินแกรนิตที่ผุ เวลาฝนตกหนัก พื้นดินจะอุ้มน้ำไว้มาก โอกาสที่หินแกรนิตผุๆ จะย่อยเป็นก้อนหินก้อนเล็ก หรือ เป็นแตกออกเป็นเม็ดทราย มีโอกาสเป็นได้สูง ดังนั้นใน 54 จังหวัด 518 อำเภอ 2,845 ตำบล ในประเทศไทย จึงมีความเสี่ยงดินถล่มสูง หากมีหินแกรนิตผุ อยู่ในบริเวณนั้นๆ

 

โดยโครงการ Maldives in Thailand ไม่ได้อยู่ ในอยู่ในลอยเลื่อนมีพลัง (Active Fault) จึงไม่อาจมีปัญหาหากเกิดแผ่นดินไหว ทั้ง สิ่งปลูกสร้างบนเกาะเทียม บนแผ่นดิน นอกจากสูง 5 ถึง 10 เมตร จึงปลอดภัยจากน้ำท่วมอย่างถาวร แล้วปลูกสร้างทั้งหมดในโครงการ ยังไม่ได้สร้างบนหินแกรนิตที่ผุแต่อย่างใดเลย นอกจากจะปลูกสร้างบนดินและทรายที่อัดแน่น สูง 5 ถึง 10 เมตร จึงไม่เกิดการทรุดตัว

 

และ ยังมีขอบกำแพงกั้นดินเป็นคอนกรีต จึงไม่มีภาวะที่น้ำฝนจะเซาะกร่อนดินหรือทรายบนเกาะเทียม ได้เลย ในการนี้ Vicharn Group จึงขอนำความปลอดภัยมานำเสนอ

Celebrities Who Lost Their Homes In California Wildfires | Then and Now 2025

nan province

ด่วน ....!  น้ำท่วมน่าน 23 ก.ค.68 | รวม 9  คลิป

​ข้อมูล น้ำท่วม จาก AI ของ จังหวัดน่าน ของประเทศไทย ที่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมมาตลอด จากฝนที่มาจากเวียตนามทุกปี หรือ ฝนมาจาก Rain Bomb ขอเสนอรายงานการวิเคราะห์ 1.) สาเหตุที่ทำให้น้ำท่วมอย่างละเอียด และ 2.) ข้อแนะนำในการแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว อย่างละเอียด

จังหวัดน่าน มีทิวเขาหลวงพระบางและทิวเขาผีปันน้ำ ซึ่งเป็นทิวเขาหินแกรนิต ที่มีความสูง 600–1,200 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ทอดผ่านทั่วจังหวัด คิดเป็นพื้นที่ประมาณร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งจังหวัด พื้นที่ของจังหวัดน่านโดยทั่วไป มีสภาพพื้นที่เป็นลูกคลื่น ลอนชันเกิน 30 องศา ประมาณร้อยละ 85 ของพื้นที่จังหวัด ส่วนลูกคลื่นลอนลาด ตามลุ่มน้ำ จะเป็นที่ราบแคบ ๆ ระหว่างหุบเขาตามแนวยาวของลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำสา ลุ่มน้ำว้า ลุ่มน้ำปัว ลุ่มน้ำย่าง และลุ่มน้ำกอน

จังหวัดน่าน มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 7,170,045 ไร่ หรือ 11,472.07 ตารางกิโลเมตร จำแนกได้ ดังนี้

  1. พื้นที่ป่าไม้และภูเขา 3,437,500 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 47.94 %

  2. พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม 2,813,980 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 39.24 %

  3. พื้นที่ทำการเกษตร 876,043 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 12.22 %

  4. พื้นที่อยู่อาศัยและอื่น ๆ 43,522 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 0.60 %

จังหวัดน่านเป็นหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทยที่เผชิญกับปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากเกือบทุกปี สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างมหาศาล สาเหตุหลักของปัญหาน้ำท่วมมีความซับซ้อนและมีปัจจัยหลายประการทั้งจากธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์

 

1. สาเหตุที่ทำให้น้ำท่วมจังหวัดน่านอย่างละเอียด

 

การทำความเข้าใจสาเหตุอย่างถ่องแท้เป็นกุญแจสำคัญในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืน โดยสามารถจำแนกสาเหตุหลักได้ดังนี้

1.1 ปัจจัยทางธรรมชาติ:

  • ลักษณะภูมิประเทศ: จังหวัดน่านตั้งอยู่ในแอ่งกระทะและมีเทือกเขาสูงโอบล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทือกเขาหลวงพระบางซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำน่าน เมื่อฝนตกหนัก น้ำจะไหลบ่าลงมาอย่างรวดเร็วสู่พื้นที่ราบลุ่ม ทำให้แม่น้ำน่านและลำน้ำสาขาเอ่อล้นตลิ่งได้ง่าย

  • ปริมาณฝนที่สูงผิดปกติ:

    • อิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อนและหย่อมความกดอากาศต่ำ (Rain Bomb): น่านมักได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อนที่ก่อตัวในทะเลจีนใต้และเคลื่อนตัวผ่านประเทศเวียดนาม หรือจากหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ก่อตัวขึ้น ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากต่อเนื่องหลายวัน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

    • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change): แนวโน้มของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ฝนทิ้งช่วงสลับกับฝนตกหนักในระยะเวลาสั้นๆ (Extreme Rainfall Events) บ่อยขึ้น ทำให้ระบบการระบายน้ำตามธรรมชาติไม่สามารถรองรับปริมาณน้ำได้ทัน

  • ป่าไม้เสื่อมโทรมและถูกทำลาย: แม้ว่าจะมีมาตรการอนุรักษ์ป่า แต่ในอดีตมีการบุกรุกป่าและทำลายป่าต้นน้ำเพื่อทำการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ทำให้หน้าดินไม่สามารถอุ้มน้ำได้ดี เมื่อฝนตกหนัก ดินจะพังทลายลงมาพร้อมกับน้ำ ส่งผลให้ปริมาณตะกอนในแม่น้ำเพิ่มขึ้นและตื้นเขินเร็วกว่าปกติ

1.2 ปัจจัยจากการกระทำของมนุษย์:

  • การบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำและการทำลายป่า: การบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำเพื่อขยายพื้นที่เกษตรกรรม โดยเฉพาะการปลูกข้าวโพดบนพื้นที่ลาดชัน ส่งผลให้การชะล้างพังทลายของหน้าดินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดินที่ถูกชะล้างเหล่านี้จะไหลลงสู่แม่น้ำลำคลอง ทำให้ร่องน้ำตื้นเขินและลดความสามารถในการระบายน้ำ

  • การขยายตัวของชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง: การขยายตัวของเมืองและชุมชนในพื้นที่ลุ่มต่ำ หรือการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่ขวางทางน้ำไหลตามธรรมชาติ เช่น ถนน หรือโครงการพัฒนาต่างๆ โดยไม่มีการวางแผนระบบระบายน้ำที่ดีพอ ยิ่งทำให้ปัญหาน้ำท่วมรุนแรงขึ้น

  • การบริหารจัดการน้ำที่ยังไม่สมบูรณ์:

    • ขาดการบูรณาการข้อมูล: การขาดข้อมูลที่เพียงพอและแม่นยำเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ การใช้ประโยชน์ที่ดิน และการพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนที่อาจเกิดขึ้น ทำให้การวางแผนและบริหารจัดการน้ำยังไม่ตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที

    • โครงสร้างพื้นฐานด้านการระบายน้ำไม่เพียงพอ: ระบบระบายน้ำเดิมในหลายพื้นที่อาจไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือมีการอุดตันจากขยะและสิ่งปฏิกูล ทำให้ประสิทธิภาพการระบายน้ำลดลง

    • การบริหารจัดการป่าต้นน้ำ: แม้มีความพยายามในการฟื้นฟู แต่การขาดความต่อเนื่องและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในบางพื้นที่ อาจทำให้การฟื้นฟูป่าต้นน้ำยังไม่เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจนเท่าที่ควร

2. ข้อแนะนำในการแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

 

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมจังหวัดน่านต้องอาศัยแนวทางแบบบูรณาการที่ครอบคลุมทั้งการรับมือในระยะสั้น การปรับปรุงในระยะกลาง และการวางแผนระยะยาวที่ยั่งยืน

 

2.1 ระยะสั้น (การรับมือและบรรเทาภัย):

 

เป้าหมาย: ลดผลกระทบจากน้ำท่วมฉับพลัน และช่วยเหลือผู้ประสบภัย

  • การพยากรณ์และเตือนภัยล่วงหน้า:

    • เพิ่มประสิทธิภาพระบบพยากรณ์: ร่วมมือกับหน่วยงานด้านอุตุนิยมวิทยาและน้ำในประเทศและต่างประเทศ (เช่น เวียดนาม, สปป.ลาว) เพื่อพัฒนาแบบจำลองการพยากรณ์ปริมาณฝนและระดับน้ำที่แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการพยากรณ์ระยะสั้น (Nowcasting)

    • กระจายข้อมูลการเตือนภัย: พัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยหลายช่องทาง (SMS, วิทยุ, โทรทัศน์, โซเชียลมีเดีย, หอกระจายข่าวในชุมชน) ให้เข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึงและทันท่วงที โดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและระบุระดับความรุนแรงของภัย

  • การเตรียมความพร้อมและการอพยพ:

    • จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว: เตรียมความพร้อมของศูนย์พักพิงชั่วคราวให้เพียงพอ มีอุปกรณ์จำเป็น เช่น อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค และสุขาภิบาล

    • ซ้อมแผนอพยพ: จัดให้มีการซ้อมแผนอพยพเป็นประจำในพื้นที่เสี่ยง เพื่อให้ประชาชนเข้าใจขั้นตอนและเส้นทางการอพยพที่ปลอดภัย

  • การจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำ:

    • กำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวาง: เร่งดำเนินการกำจัดวัชพืช ผักตบชวา และสิ่งกีดขวางอื่นๆ ในลำน้ำ คูคลอง และท่อระบายน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนเข้าสู่ฤดูฝน

    • ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ: เตรียมพร้อมเครื่องสูบน้ำและอุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ ในพื้นที่วิกฤติ

แหล่งข้อมูลประกอบ:

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย: https://www.disaster.go.th/ (ข้อมูลการเตรียมพร้อมและการแจ้งเตือนภัย)

  • กรมอุตุนิยมวิทยา: https://www.tmd.go.th/ (ข้อมูลพยากรณ์อากาศและเตือนภัยฝนตกหนัก)

 

2.2 ระยะกลาง (การปรับปรุงและฟื้นฟู):

 

เป้าหมาย: เพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการน้ำและลดความเปราะบางของพื้นที่

  • การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำอย่างยั่งยืน:

    • ปลูกป่าเสริม: ดำเนินโครงการปลูกป่าเสริมในพื้นที่ต้นน้ำที่เสื่อมโทรมอย่างจริงจัง โดยเลือกพันธุ์ไม้ที่เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและสภาพอากาศ

    • ส่งเสริมการเกษตรยั่งยืน: ส่งเสริมการทำเกษตรแบบผสมผสาน หรือวนเกษตร แทนการปลูกพืชเชิงเดี่ยวบนพื้นที่ลาดชัน เพื่อลดการชะล้างหน้าดินและเพิ่มพื้นที่ป่า

    • บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด: เข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบุกรุกป่าและทำลายป่า

  • ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการระบายน้ำ:

    • ขุดลอกและขยายลำน้ำ: ดำเนินการขุดลอกคลอง หนอง บึง และขยายลำน้ำสาขาของแม่น้ำน่านที่ตื้นเขิน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการระบายน้ำ

    • ก่อสร้างแก้มลิงและพื้นที่รับน้ำ: พิจารณาก่อสร้างแก้มลิงธรรมชาติหรืออ่างเก็บน้ำขนาดเล็กในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อชะลอและเก็บกักน้ำก่อนไหลลงสู่แม่น้ำสายหลัก

    • ปรับปรุงระบบระบายน้ำในเขตเมือง: ตรวจสอบและปรับปรุงระบบท่อระบายน้ำในเขตเมืองให้มีขนาดที่เหมาะสมและไม่เกิดการอุดตัน

  • การจัดการพื้นที่ริมตลิ่งและแม่น้ำ:

    • กำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน: วางผังเมืองและกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินให้ชัดเจน โดยเฉพาะในพื้นที่ริมตลิ่งและพื้นที่ลุ่มต่ำ เพื่อจำกัดการก่อสร้างที่ขวางทางน้ำไหล

    • ส่งเสริมการสร้างบ้านเรือนที่รับมือน้ำท่วมได้: ให้ความรู้และสนับสนุนการสร้างบ้านเรือนที่ปรับตัวเข้ากับสภาพน้ำท่วมได้ เช่น ยกใต้ถุนสูง หรือออกแบบให้ทนทานต่อน้ำ

แหล่งข้อมูลประกอบ:

  • กรมป่าไม้: https://www.forest.go.th/ (ข้อมูลการฟื้นฟูป่าไม้)

  • กรมชลประทาน: https://www.rid.go.th/ (ข้อมูลโครงการชลประทานและบริหารจัดการน้ำ)

 

2.3 ระยะยาว (การวางแผนที่ยั่งยืนและการปรับตัว):

 

เป้าหมาย: สร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในระยะยาวอย่างยั่งยืน

  • การบูรณาการแผนบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำน่าน:

    • แผนงานที่ครอบคลุมทั้งลุ่มน้ำ: พัฒนาแผนบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำน่านแบบองค์รวม ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ โดยพิจารณาปัจจัยทั้งหมดร่วมกัน

    • การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน: ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการวางแผนและตัดสินใจ

    • ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม: นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) และการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลและติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่

  • การศึกษาและวิจัยเพื่อความเข้าใจเชิงลึก:

    • วิจัยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อปริมาณน้ำฝนและระดับน้ำในแม่น้ำน่านอย่างละเอียด เพื่อนำมาปรับปรุงแบบจำลองและการวางแผน

    • วิจัยพืชพรรณที่เหมาะสม: วิจัยและพัฒนาพืชพรรณที่สามารถปลูกในพื้นที่ต้นน้ำเพื่อช่วยในการดูดซับน้ำและป้องกันการพังทลายของหน้าดิน

  • การสร้างความตระหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม:

    • ให้ความรู้ประชาชน: จัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างเหมาะสม และการปรับตัวต่อภัยพิบัติ

    • ส่งเสริมการเรียนรู้ในโรงเรียน: บรรจุหลักสูตรการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การป้องกันภัยพิบัติ ลงในหลักสูตรการเรียนการสอน

  • การพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม:

    • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ: พัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติและสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน

    • สนับสนุนเกษตรอินทรีย์: สนับสนุนเกษตรกรให้หันมาทำเกษตรอินทรีย์ที่ลดการใช้สารเคมีและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

แหล่งข้อมูลประกอบ:

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.): https://www.onwr.go.th/ (ข้อมูลการบริหารจัดการน้ำระดับประเทศและลุ่มน้ำ)

  • รายงานสถานการณ์น้ำท่วมจังหวัดน่านจากข่าวสารและงานวิจัยต่างๆ (เช่น Thai-PRD, สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย - TDRI)

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดน่านเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง การลงทุนทั้งในด้านทรัพยากรบุคคล งบประมาณ และเทคโนโลยี จะเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้จังหวัดน่านสามารถรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

chieng mai

ด่วน ....!   ฝนตกไม่นานน้ำท่วมเชียงใหม่ | 20 ก.ค. 68   | รวม 9  คลิป

​ข้อมูล น้ำท่วม จาก AI ของ จังหวัดเชียงใหม่ ของประเทศไทย ที่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วมมาตลอด จากฝนที่มาจากเวียตนามทุกปี หรือ ฝนมาจาก Rain Bomb ขอเสนอรายงานการวิเคราะห์ 1.) สาเหตุที่ทำให้น้ำท่วมอย่างละเอียด และ 2.) ข้อแนะนำในการแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว อย่างละเอียด

จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่ 22,436 ตารางกิโลเมตรหรือประมาณ 14,022,546 ไร่ มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอันดับที่ 1 ของประเทศ

จังหวัดเชียงใหม่มีแม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำปิง และมีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือ เขื่อนแม่กวงอุดมธารา อำเภอดอยสะเก็ด และเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล อำเภอแม่แตง และยังแบ่งตามพื้นที่ลุ่มน้ำดังนี้

  • ลุ่มน้ำปิงตอนบน เป็นลุ่มน้ำที่สำคัญที่สุดในภาคเหนือตอนบน มีพื้นที่ 25,355.9 ตร.กม. สภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนมีความลาดชันสูง วางตัวแนวเหนือ-ใต้ พื้นที่ส่วนใหญ่เสี่ยงต่อแผ่นดินถล่มและการชะล้างพังทลายของดินสูง ลักษณะภูมิอากาศเป็นแบบสะวันนา คือ มีฤดูฝนสลับกับฤดูแล้งอย่างชัดเจน  และยังมีลุ่มน้ำย่อยอีก 14 ลุ่มน้ำย่อย แม่น้ำที่สำคัญได้แก่ แม่น้ำปิง แม่แตง แม่กวง แม่งัด แม่แจ่ม แม่ขาน และแม่ตื่น

  • ลุ่มน้ำกก มีน้ำแม่กกเป็นแม่น้ำสายหลัก ไหลผ่านเมืองกก เข้าเขตประเทศไทยที่ช่องน้ำกก อำเภอแม่อาย แล้วไหลเข้าสู่จังหวัดเชียงราย ก่อนจะไหลลงสู่แม่น้ำโขง ครอบคลุมพื้นที่ 2,773 ตร.กม.

  • ลุ่มน้ำฝาง มีแม่น้ำฝางเป็นแม่น้ำสายหลัก ซึ่งมีต้นกำเนิดจากดอยขุนห้วยฝางและดอยหัวโท ทางตอนใต้ของอำเภอไชยปราการ ไหลลงสู่น้ำแม่กก มีความยาวลำน้ำประมาณ 70 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ลุ่มน้ำ 1,948.5 ตร.กม. ในอำเภอไชยปราการ ฝาง และแม่อาย

จังหวัดเชียงใหม่เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อภัยพิบัติน้ำท่วมและดินถล่ม โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ได้รับอิทธิพลจากมรสุมและพายุต่างๆ ต่อไปนี้คือข้อมูลการวิเคราะห์ตามคำถามของคุณครับ

 

วิกฤติน้ำท่วมและดินถล่มในจังหวัดเชียงใหม่

1.) ท้องที่ใดที่เคยประสบน้ำท่วม และเกิดขึ้นเมื่อใด

 

จังหวัดเชียงใหม่ประสบปัญหาน้ำท่วมมาอย่างต่อเนื่องเกือบทุกปี โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มต่ำริมฝั่งแม่น้ำปิงและบริเวณใจกลางเมือง เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่และมีผลกระทบอย่างรุนแรงที่สำคัญ ได้แก่:

  • ปี พ.ศ. 2549 (2006): เกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะในเขตเมือง และอำเภอใกล้เคียง สาเหตุหลักมาจากฝนตกหนักต่อเนื่อง

  • ปี พ.ศ. 2554 (2011): เป็นหนึ่งในเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เชียงใหม่ โดยเฉพาะในเดือนกันยายน และตุลาคม พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักคือ

    • ในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่: บริเวณช้างคลาน, วัดเกต, สันป่าข่อย, ป่าแดด, ถนนเจริญประเทศ, ถนนศรีดอนไชย, ถนนช้างคลาน, ถนนมหิดล, และชุมชนริมฝั่งแม่น้ำปิงทั้งหมด ระดับน้ำท่วมสูงถึงเอวถึงอกในบางพื้นที่

    • อำเภอรอบนอก: อำเภอสารภี, อำเภอหางดง, อำเภอแม่ริม, อำเภอสันทราย, อำเภอสันกำแพง ก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักเช่นกัน

    • สาเหตุ: ปริมาณฝนที่ตกหนักมากในพื้นที่ต้นน้ำสะสมอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำในแม่น้ำปิงเอ่อล้นตลิ่งอย่างกะทันหัน

  • ปี พ.ศ. 2560 (2017): น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะในเขตเมืองและอำเภอรอบนอก เช่น สันกำแพง, หางดง, สารภี แม้จะไม่รุนแรงเท่าปี 2554 แต่ก็สร้างความเสียหาย

  • ปี พ.ศ. 2563 (2020): เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในหลายอำเภอ โดยเฉพาะอำเภอแม่แจ่ม, อำเภอสะเมิง, อำเภอแม่ริม และบางส่วนของเขตเมือง

  • ปี พ.ศ. 2565 (2022): ช่วงเดือนตุลาคม มีน้ำท่วมฉับพลันในเขตเมืองและบางอำเภอ โดยเฉพาะบริเวณถนนช้างคลาน, ถนนเจริญประเทศ, ไนท์บาซาร์ และพื้นที่ลุ่มต่ำใกล้แม่น้ำปิง

โดยสรุปแล้ว พื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำปิง และ พื้นที่ลุ่มต่ำในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่ รวมถึง อำเภอรอบนอกที่เป็นทางผ่านของลำน้ำสาขาของแม่น้ำปิง (เช่น สารภี, หางดง, สันกำแพง, แม่ริม, สันทราย) เป็นท้องที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก

 

2.) ท้องที่ใดที่มีความเสี่ยงที่จะมีน้ำท่วมและจะเกิดขึ้นเมื่อใด ระหว่างเดือน กันยายน 2568 ถึง กันยายน 2569

 

การคาดการณ์วันเวลาที่แน่นอนของการเกิดน้ำท่วมในอนาคตเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องจากขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์น้ำท่วม พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดน้ำท่วมระหว่างเดือนกันยายน 2568 ถึงกันยายน 2569 (โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ประมาณเดือนสิงหาคม-ตุลาคมของทุกปี หากมีปริมาณฝนตกหนักและต่อเนื่อง) ได้แก่:

  • พื้นที่ริมสองฝั่งแม่น้ำปิง:

    • เขตเทศบาลนครเชียงใหม่: โดยเฉพาะ ชุมชนวัดเกต, ชุมชนช้างคลาน, ชุมชนสันป่าข่อย, ชุมชนป่าแดด, บริเวณถนนเจริญประเทศ, ถนนศรีดอนไชย, ถนนช้างคลาน, ถนนมหิดล (มักจะเกิดน้ำเอ่อล้นตลิ่ง)

    • อำเภอสารภี, อำเภอหางดง, อำเภอแม่ริม: พื้นที่ลุ่มต่ำและพื้นที่เกษตรกรรมริมแม่น้ำปิง

  • พื้นที่ลุ่มต่ำและพื้นที่ระบายน้ำไม่ดีในเขตเมือง:

    • บริเวณหลังห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัลเชียงใหม่ (เคยมีปัญหาน้ำท่วมขัง)

    • ถนนบางสายที่มีการระบายน้ำไม่ดี

  • พื้นที่รับน้ำจากลำน้ำสาขาที่ไหลลงสู่แม่น้ำปิง:

    • บริเวณริมคลองแม่ข่า (หากมีฝนตกหนักและมีการระบายน้ำไม่ดี)

    • พื้นที่ตามแนวลำน้ำแม่กวง, ลำน้ำแม่ริม, ลำน้ำแม่แตง ก่อนบรรจบกับแม่น้ำปิง

  • พื้นที่ต้นน้ำและเชิงเขา:

    • อำเภอแม่แจ่ม, อำเภอสะเมิง, อำเภอแม่ริม, อำเภอเชียงดาว, อำเภอฝาง, อำเภอไชยปราการ, อำเภอแม่แตง: มีความเสี่ยงต่อน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลันหากมีฝนตกหนักมากบนภูเขา

ข้อควรระวัง: แม้จะระบุช่วงเวลาคร่าวๆ (ฤดูฝน) แต่การเกิดน้ำท่วมขึ้นอยู่กับปริมาณฝนสะสมและความเข้มข้นของฝนในแต่ละครั้ง ดังนั้น การติดตามข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

 

3.) ท้องที่ใดที่เคยมีแผ่นดินถล่ม และเกิดขึ้นเมื่อใด

 

จังหวัดเชียงใหม่มีพื้นที่เป็นภูเขาสูงชันหลายแห่ง จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินถล่ม โดยเฉพาะในฤดูฝนที่ดินอุ้มน้ำจนอิ่มตัวและเกิดการพังทลายลงมา เหตุการณ์แผ่นดินถล่มที่สำคัญและเป็นที่รู้จัก มักจะเกิดขึ้นพร้อมกับเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่หรือในช่วงที่มีฝนตกหนักต่อเนื่อง:

  • ปี พ.ศ. 2554 (2011): ในช่วงที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ มีรายงานดินโคลนถล่มในหลายพื้นที่ที่เป็นภูเขาสูงชัน โดยเฉพาะใน

    • อำเภอแม่แจ่ม: เป็นพื้นที่ที่มีข่าวการเกิดดินถล่มบ่อยครั้งในช่วงที่มีฝนตกหนักมาก

    • อำเภอสะเมิง, อำเภอแม่ริม (บริเวณที่สูงขึ้นไป): มีรายงานดินสไลด์และดินถล่มขนาดเล็ก

    • อำเภอฮอด, อำเภออมก๋อย, อำเภอเชียงดาว: ในบางพื้นที่ที่มีความลาดชันสูง

  • ปี พ.ศ. 2563 (2020): มีรายงานดินถล่มและน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่สูงของอำเภอแม่แจ่ม และอำเภอสะเมิง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเส้นทางสัญจรและพื้นที่การเกษตร

  • เหตุการณ์ย่อยๆ: ดินถล่มขนาดเล็กถึงกลาง มักจะเกิดขึ้นประปรายในหลายพื้นที่ภูเขาของจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงฤดูฝนที่ฝนตกหนักต่อเนื่องกันหลายวัน โดยเฉพาะตามแนวถนนที่ตัดผ่านภูเขา

 

4.) ท้องที่ใดที่มีความเสี่ยงที่จะมีแผ่นดินถล่มและจะเกิดขึ้นเมื่อใด ระหว่างเดือน กันยายน 2568 ถึง กันยายน 2569

 

เช่นเดียวกับการคาดการณ์น้ำท่วม การระบุวันเวลาที่แน่นอนของแผ่นดินถล่มในอนาคตเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดแผ่นดินถล่มระหว่างเดือนกันยายน 2568 ถึงกันยายน 2569 (โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน หากมีฝนตกหนักต่อเนื่องและสะสมในปริมาณมาก) ได้แก่:

  • พื้นที่ภูเขาสูงชันและมีประวัติการเกิดดินถล่ม:

    • อำเภอแม่แจ่ม, อำเภอสะเมิง, อำเภอแม่ริม (พื้นที่สูง), อำเภอเชียงดาว, อำเภอเวียงแหง, อำเภอไชยปราการ, อำเภอฝาง, อำเภอแม่อาย, อำเภอฮอด, อำเภออมก๋อย, อำเภอดอยเต่า: โดยเฉพาะหมู่บ้านหรือชุมชนที่ตั้งอยู่บริเวณลาดเชิงเขา หรือใกล้กับหน้าผาชัน

  • พื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินบนพื้นที่ลาดชัน:

    • บริเวณที่มีการบุกรุกป่าเพื่อทำการเกษตร (เช่น การปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยวบนพื้นที่ดอยสูง) จะทำให้หน้าดินไม่ยึดเกาะและมีความเสี่ยงสูงที่จะพังทลายลงมาเมื่อมีฝนตกหนัก

  • บริเวณริมถนนที่ตัดผ่านภูเขา:

    • เส้นทางคมนาคมที่ตัดผ่านภูมิประเทศภูเขาหลายแห่งในเชียงใหม่มีความเสี่ยงที่จะเกิดดินสไลด์ปิดทับเส้นทางในช่วงฤดูฝน

 

ปัจจัยกระตุ้น: แผ่นดินถล่มมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีปริมาณฝนสะสมสูงเกินกว่าที่ดินจะอุ้มน้ำไว้ได้ (มักจะมากกว่า 100 มิลลิเมตรใน 24 ชั่วโมง หรือฝนตกต่อเนื่องหลายวัน) และ/หรือมีสภาพธรณีวิทยาที่เปราะบาง เช่น มีชั้นดินเหนียวหรือหินผุ

 

ข้อแนะนำ: ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยดินถล่มควรติดตามข่าวสารจากกรมทรัพยากรธรณี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และหน่วยงานท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด หากพบสัญญาณผิดปกติ เช่น น้ำในลำห้วยมีสีขุ่นข้นผิดปกติ มีเสียงดังผิดปกติจากภูเขา หรือมีกิ่งไม้ เศษดินไหลลงมา ควรเตรียมอพยพทันที

3-2.png

การวิเคราะห์ปัญหาน้ำท่วมจังหวัดเชียงใหม่: สาเหตุและแนวทางแก้ไข

 

จังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะพื้นที่เมืองและบริเวณลุ่มน้ำปิงตอนบน ประสบปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากมาอย่างยาวนาน โดยมีปัจจัยทั้งจากธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างซับซ้อน

 

1. ปริมาณน้ำฝนที่มีผลต่อน้ำท่วมระดับและระดับหนัก

 

การระบุปริมาณน้ำฝนที่แน่นอนซึ่งจะนำไปสู่ระดับน้ำท่วม "ปานกลาง" หรือ "หนัก" นั้นซับซ้อน เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความชุ่มชื้นของดินก่อนหน้า ระยะเวลาการตกของฝน ความเข้มข้นของฝน และประสิทธิภาพของระบบระบายน้ำในขณะนั้น อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่รวบรวมได้ สามารถให้แนวคิดคร่าวๆ ดังนี้:

  • น้ำท่วมระดับหนัก: เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ครั้งหนึ่ง (ปี 2554 ตามข้อมูลจาก Matichon Weekly) เกิดจากปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมาอย่างหนักถึง 800 มิลลิเมตรใน 2 วัน ในเขตแม่น้ำปิงตอนเหนือ ซึ่งสูงกว่าปริมาณปกติหลายร้อยเท่าในฤดูฝนทั่วไป ปริมาณฝนระดับนี้มักเกิดจากปรากฏการณ์ "ระเบิดฝน (Rain Bomb)" หรือพายุใหญ่ที่เคลื่อนตัวเข้ามา

  • น้ำท่วมระดับปานกลางถึงหนัก: ข้อมูลจากกรมชลประทานในปี 2549 ระบุว่าฝนตกหนัก 117 มม. ในอำเภอสันกำแพง ส่งผลให้น้ำในลำน้ำแม่ออนเอ่อล้นตลิ่งท่วมพื้นที่การเกษตรสูง 0.20 ม. ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปริมาณฝนที่สูงกว่า 100 มม. ในระยะเวลาอันสั้นในบางพื้นที่ก็สามารถก่อให้เกิดน้ำท่วมได้แล้ว

โดยสรุป ปริมาณฝนที่เกิน 100 มม. ในช่วงเวลาสั้นๆ (เช่น 24 ชั่วโมง) มักจะเริ่มส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำไม่ดี หรือพื้นที่ลุ่มต่ำ ส่วนปริมาณฝนที่สูงมาก เช่น หลายร้อยมิลลิเมตรภายในไม่กี่วัน จะนำไปสู่ภาวะน้ำท่วมหนักและวิกฤติ

 

2. สาเหตุที่ทำให้น้ำท่วมจังหวัดเชียงใหม่อย่างละเอียดและสถานที่เกี่ยวข้อง

 

ปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่เกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกเขตเมืองที่ส่งผลกระทบต่อกัน:

 

2.1 ปัจจัยทางธรรมชาติ:

  • ลักษณะภูมิประเทศ: จังหวัดเชียงใหม่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ มีเทือกเขาสูงโอบล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทือกเขาดอยสุเทพ-ปุยทางตะวันตก และเทือกเขาทางเหนือที่เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำปิงและลำน้ำสาขาหลายสาย เมื่อเกิดฝนตกหนักบนพื้นที่สูง น้ำจะไหลบ่าลงมาอย่างรวดเร็วสู่พื้นที่ราบลุ่มเมืองเชียงใหม่ที่อยู่ต่ำกว่า

  • ปริมาณฝนที่สูงผิดปกติ:

    • อิทธิพลจากลมมรสุมและพายุ (Rain Bomb): เชียงใหม่ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดพาความชื้นเข้ามา และบางครั้งได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อนที่อ่อนกำลังลง หรือหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงที่ก่อตัวขึ้น (คล้ายกับปรากฏการณ์ Rain Bomb ที่กล่าวถึงในข้อ 1) ทำให้เกิดฝนตกหนักถึงหนักมากในพื้นที่ต้นน้ำและในเขตเมือง

    • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change): ทำให้เกิดฝนตกหนักในระยะเวลาสั้นๆ และมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งระบบระบายน้ำเดิมไม่สามารถรองรับได้

  • ดินอิ่มตัวด้วยน้ำ: หากมีฝนตกสะสมมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดินในพื้นที่ต้นน้ำและพื้นที่โดยรอบอิ่มตัวด้วยน้ำแล้ว เมื่อมีฝนตกหนักระลอกใหม่ น้ำฝนเกือบ 100% จะกลายเป็นน้ำท่าไหลบ่าลงมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดน้ำท่วมขยายวงกว้างและรุนแรงขึ้น

 

2.2 ปัจจัยจากการกระทำของมนุษย์และสถานที่เกี่ยวข้อง:

  • การบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำและการทำลายป่า:

    • พื้นที่ปลูกข้าวโพดบนดอยสูง: มีการรายงานว่าพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จำนวนมากในอำเภอเชียงดาวและอำเภอแม่แตง (ซึ่งส่วนใหญ่ปลูกบนดอยสูง) เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำป่าบนภูเขาต้นน้ำไหลลงมาได้รวดเร็วและเชี่ยวกรากไหลเข้าท่วมพื้นที่ราบเชิงเขา

    • ป่าไม้หัวโล้น: การทำลายป่าทำให้ภูเขาไม่สามารถอุ้มซับน้ำได้ดี เมื่อฝนตกน้ำจะไหลลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม

  • การขยายตัวของชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง (ในเขตเมืองและริมน้ำปิง):

    • การรุกล้ำพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำปิง: การก่อสร้างอาคารบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำปิง ทำให้พื้นที่รับน้ำตามธรรมชาติลดลง และขวางทางน้ำไหล

    • การสร้างถนนและสะพานขวางทางระบายน้ำ: การก่อสร้างถนนหรือสะพานบางแห่งอาจไม่ได้ออกแบบให้มีการระบายน้ำที่ดีพอ หรือมีสิ่งกีดขวางทางน้ำไหล ทำให้เกิดการสะสมของน้ำ

    • พื้นที่ลุ่มต่ำและที่ราบน้ำท่วมถึง: เขตเทศบาลนครเชียงใหม่และพื้นที่โดยรอบเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำและเป็นที่ราบน้ำท่วมถึงอยู่แล้ว เมื่อมีปริมาณน้ำฝนจำนวนมากทั้งที่ตกภายในเมืองและที่มาจากภายนอกเมืองสะสมรวมกัน ทำให้ปริมาณน้ำเกินกว่าที่แม่น้ำปิงจะรับได้ น้ำจึงเอ่อล้นเข้าท่วม

  • สภาพของลำน้ำปิงที่ตื้นเขิน:

    • การทับถมของตะกอน: การชะล้างพังทลายของหน้าดินจากพื้นที่ต้นน้ำที่ถูกทำลายลงมาสะสมในแม่น้ำปิง ทำให้แม่น้ำตื้นเขินและลดความสามารถในการรองรับปริมาณน้ำ

    • วัชพืชและสิ่งกีดขวาง: การสะสมของวัชพืช ผักตบชวา และขยะในลำน้ำและคลองสาขา ทำให้การระบายน้ำเป็นไปได้ช้าลง

  • ระบบระบายน้ำในเขตเมืองไร้ประสิทธิภาพ:

    • ท่อระบายน้ำอุดตัน: ท่อระบายน้ำในเขตเมืองอาจอุดตันด้วยดินทรายและขยะ โดยเฉพาะหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ ทำให้ประสิทธิภาพในการระบายน้ำลดลง

    • ขนาดท่อระบายน้ำไม่เพียงพอ: ระบบท่อระบายน้ำเดิมอาจมีขนาดไม่เพียงพอที่จะรองรับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน

3-1.png

3. ข้อแนะนำในการแก้ปัญหาน้ำท่วมในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว

 

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ต้องอาศัยแผนงานที่ครอบคลุมและบูรณาการจากทุกภาคส่วน

 

3.1 ระยะสั้น (การรับมือและบรรเทาภัย):

 

เป้าหมาย: ลดผลกระทบจากน้ำท่วมฉับพลันและช่วยเหลือผู้ประสบภัย

  • การพยากรณ์และเตือนภัยล่วงหน้า:

    • เพิ่มประสิทธิภาพระบบพยากรณ์อากาศและน้ำ: พัฒนาและเชื่อมโยงข้อมูลการพยากรณ์ปริมาณฝนและระดับน้ำจากสถานีต่างๆ ทั้งในพื้นที่ต้นน้ำและในเขตเมืองให้มีความแม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงการใช้ข้อมูลจากเรดาร์ฝนและดาวเทียม

    • ระบบแจ้งเตือนภัยแบบหลายช่องทาง: จัดตั้งและประชาสัมพันธ์ช่องทางการแจ้งเตือนภัยที่หลากหลายและเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย (SMS, LINE Official Account, Facebook, วิทยุชุมชน, หอกระจายข่าว)

  • การเตรียมความพร้อมและการอพยพ:

    • จัดทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงภัยและเส้นทางอพยพ: ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบและเข้าใจ

    • จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราว: เตรียมความพร้อมของสถานที่พักพิงชั่วคราวให้เพียงพอ มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานและสุขอนามัยที่ดี

    • ซ้อมแผนอพยพและฝึกอบรม: จัดให้มีการซ้อมแผนอพยพเป็นประจำในพื้นที่เสี่ยง และฝึกอบรมอาสาสมัครกู้ภัยในชุมชน

  • การจัดการสิ่งกีดขวางทางน้ำ:

    • ขุดลอกคูคลองและท่อระบายน้ำ: เร่งดำเนินการขุดลอกคูคลอง ลำเหมือง และท่อระบายน้ำในเขตเมืองและพื้นที่โดยรอบอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะก่อนฤดูฝน

    • กำจัดวัชพืชและขยะ: รณรงค์และดำเนินการกำจัดวัชพืช ผักตบชวา และขยะที่กีดขวางทางน้ำไหลในแม่น้ำปิงและลำน้ำสาขา

แหล่งข้อมูลประกอบ:

  • กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย: https://www.disaster.go.th/ (ข้อมูลการเตรียมพร้อมและการแจ้งเตือนภัย)

  • กรมอุตุนิยมวิทยา: https://www.tmd.go.th/ (ข้อมูลพยากรณ์อากาศและเตือนภัยฝนตกหนัก)

 

3.2 ระยะกลาง (การปรับปรุงและฟื้นฟู):

 

เป้าหมาย: เพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการน้ำและลดความเปราะบางของพื้นที่

  • การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำ:

    • โครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่า: ดำเนินโครงการปลูกป่าเสริมในพื้นที่ต้นน้ำที่เสื่อมโทรมอย่างจริงจัง โดยเฉพาะในพื้นที่ลาดชัน และส่งเสริมการปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง

    • ส่งเสริมการเกษตรยั่งยืน: สนับสนุนเกษตรกรให้ปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวบนพื้นที่สูง มาเป็นการทำเกษตรแบบผสมผสาน วนเกษตร หรือพืชเศรษฐกิจที่เหมาะสมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

    • บังคับใช้กฎหมาย: เข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการบุกรุกและทำลายป่า

  • ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการระบายน้ำ:

    • ขุดลอกและขยายลำน้ำปิงและลำน้ำสาขา: ดำเนินการขุดลอกแม่น้ำปิงและลำน้ำสาขาที่ตื้นเขินอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความจุและประสิทธิภาพการระบายน้ำ

    • สร้างคลองผันน้ำ: พิจารณาการก่อสร้างคลองผันน้ำเพื่อช่วยระบายน้ำออกจากแม่น้ำปิงในเขตเมืองในช่วงที่ปริมาณน้ำสูง

    • สร้างแก้มลิงและพื้นที่รับน้ำ: พัฒนาและใช้ประโยชน์จากพื้นที่แก้มลิงธรรมชาติ หรือสร้างพื้นที่รับน้ำชั่วคราว (เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก) ในพื้นที่ที่เหมาะสม เพื่อชะลอน้ำและลดปริมาณน้ำที่จะไหลเข้าสู่เมือง

    • ปรับปรุงระบบระบายน้ำในเขตเมือง: ตรวจสอบและปรับปรุงขนาดท่อระบายน้ำให้เหมาะสมกับปริมาณน้ำฝนที่เพิ่มขึ้น และวางแผนการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

  • การจัดการพื้นที่ริมตลิ่งและผังเมือง:

    • กำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน: วางผังเมืองและกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดินริมแม่น้ำปิงและในพื้นที่ลุ่มต่ำให้ชัดเจน เพื่อป้องกันการก่อสร้างที่รุกล้ำและขวางทางน้ำ

    • ส่งเสริมการก่อสร้างอาคารที่ปรับตัวได้: ให้ความรู้และสนับสนุนการก่อสร้างอาคารบ้านเรือนที่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์น้ำท่วมได้ เช่น การยกใต้ถุนสูง

แหล่งข้อมูลประกอบ:

  • กรมป่าไม้: https://www.forest.go.th/ (ข้อมูลการฟื้นฟูป่าไม้)

  • กรมชลประทาน: https://www.rid.go.th/ (ข้อมูลโครงการชลประทานและบริหารจัดการน้ำ)

 

3.3 ระยะยาว (การวางแผนที่ยั่งยืนและการปรับตัว):

 

เป้าหมาย: สร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมในระยะยาวอย่างยั่งยืน

  • การบูรณาการแผนบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำปิงตอนบน:

    • แผนแม่บทระยะยาว: พัฒนาแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำปิงตอนบนอย่างเป็นระบบและยั่งยืน โดยคำนึงถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

    • การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน: ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ชุมชนท้องถิ่น ภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการวางแผน ตัดสินใจ และดำเนินงาน

    • การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม: นำเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น แบบจำลองอุทกวิทยาที่ซับซ้อน ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) และการใช้ภาพถ่ายดาวเทียม มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล วางแผน และติดตามสถานการณ์

  • การศึกษาและวิจัยเชิงลึก:

    • วิจัยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ศึกษาและวิจัยผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อปริมาณน้ำฝน รูปแบบการไหลของน้ำ และความเสี่ยงน้ำท่วมในระยะยาว เพื่อนำมาปรับปรุงแผนการบริหารจัดการ

    • วิจัยและพัฒนาพืชพรรณที่เหมาะสม: วิจัยและส่งเสริมการใช้พืชพรรณที่เหมาะสมในการฟื้นฟูป่าต้นน้ำและพื้นที่เสี่ยง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซับน้ำและลดการพังทลายของดิน

  • การสร้างความตระหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม:

    • การให้ความรู้และการศึกษา: จัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างยั่งยืน และการปรับตัวต่อภัยพิบัติ

    • การบรรจุในหลักสูตรการศึกษา: ส่งเสริมการบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการป้องกันภัยพิบัติในหลักสูตรการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับพื้นฐาน

  • การพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม:

    • ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ: พัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่เน้นการอนุรักษ์ธรรมชาติและสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับชุมชน

    • สนับสนุนเกษตรอินทรีย์: สนับสนุนเกษตรกรให้หันมาทำเกษตรอินทรีย์และเกษตรยั่งยืน เพื่อลดการใช้สารเคมีและฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน

แหล่งข้อมูลประกอบ:

  • สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.): https://www.onwr.go.th/ (ข้อมูลการบริหารจัดการน้ำระดับประเทศและลุ่มน้ำ)

  • รายงานและงานวิจัยจากสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิชาการต่างๆ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ตามที่ค้นพบในผลลัพธ์การค้นหา) และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI)

การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในจังหวัดเชียงใหม่เป็นภารกิจที่ต้องใช้ความร่วมมือ ความเข้าใจ และความมุ่งมั่นจากทุกภาคส่วนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เชียงใหม่สามารถเป็นเมืองที่ปลอดภัยและยั่งยืนในระยะยาว

© 2024 by The SUN Academy(TSA)

 Powered and secured by Wix

  • Facebook
bottom of page